ประวัติศาสตร์การเพาะกาย
|
แข็งแกร่ง | แข็งแกร่งและงดงาม | งดงาม |
ย้อนกลับไปเป็นพันปี สมัยโรมันกรีก สมัยที่เราแบ่งชนชั้นกันที่ความแข็งแกร่ง เราเริ่มเห็นความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจนระหว่างผู้ที่แข็งแรงเพียวๆ ,ผู้ที่แข็งแรงและมีกล้ามเนื้องดงาม ,กับผู้ที่มีร่างกายงดงามเพียวๆ จะเห็นได้ว่าผู้ที่แข็งแรงเพียวๆก็เหมาะที่จะถูกนำไปรบพุ่ง หรือทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการใช้พละกำลัง ในขณะที่ผู้ที่มีร่างกายงดงามเพียวๆ ก็ถูกใช้เป็นชายบำเรอให้กับชายชนชั้นสูง (เรื่องฮอร์โมเซ็กชวลล์ มีมาตั้งแต่นั้นแล้วครับ) คงเหลือแต่ผู้ที่อยู่ตรงกลางคือผู้ที่แข็งแกร่งและมีร่างกายงดงามพร้อมๆกัน คนพวกนี้ถูกกำหนดมาให้เป็นนักกีฬา และมีความเป็นอยู่ที่ดีเนื่องจากใครๆก็อยากให้นักกีฬาในสังกัด ชนะค่ายอื่นอยู่ร่ำไปจึงต้องได้รับฟูมฟักเป็นอย่างดี ซึ่งหากจะให้ช่างแกะสลัก เลือกนายแบบมาเป็นแบบแกะสลักรูปปั้นนักกีฬาเขวี้ยงจักร เพื่อประดับสนามกีฬาในโรม เขาจะเลือกใครระหว่างชาย 3 คนข้างบนนี้? แม้ว่าจะยังไม่พบหลักฐานดัมเบลล์ บาร์เบลล์ของยุกกรีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสมัยนั้นจะไม่มีการเพาะกาย นักกีฬาจะต้องฝึกตนให้แข็งแกร่ง และในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาร่างกายให้สวยงามได้ตลอดปี เพราะถ้ามีแต่ความแข็งแกร่งแต่ร่างกายไม่สวยเสียแล้ว ก็ต้องถูกส่งไปออกรบแทน เขาอาจจะใช้การยกแผ่นอิฐ ,แผ่นเหล็ก และทั้งหมดนี้ก็ต้องควบคู่ไปก้บการดูแลอาหารการกินให้เหมาะกับนักกีฬาด้วย ดังนั้นเงื่อนงำที่ให้สืบสวนว่ามีการเพาะกายมาตั้งแต่สมัยนั้น ก็คงเป็นแค่รูปปั้นหรือรูปวาดของผู้ชาย ซึ่งชี้ให้เห็นว่านักเพาะกายได้รับการยอมรับด้วยการถูกนำมาเป็นแบบปั้นเหมือนพวกนักปกครองดังๆในยุคนั้น (ส่วนรูปปั้นเดวิดทางซ้ายมือสุด เกิดขึ้นหลังยุคกรีกหลายร้อยปี ปั้นโดยไมเคิลแองเจลโล เมื่อ 400 ปีที่แล้ว ยุคเดียวกับลิโอนาโด ดาวินซี ซึ่งศิลปินทั้งสองคนนี้เคยวาดรูปบนผนังวัดแข่งกันด้วย แต่เสมอกัน) อุปกรณ์ดัมเบลล์ เริ่มมีการใช้มื่อ 300 ปีก่อนถึงปัจจุบันนี้ (ในส่วนนี้ผมอ่านเจอในหนังสือเพาะกายเล่มหนึ่ง ในหอสมุดแห่งชาติท่าวาสุกรี สมัยหลายสิบปีแล้ว แต่ไม่ได้ถ่ายเอกสารมาเก็บไว้ เพราะเขาไม่ให้ยืมออกมา และข้างในก็ไม่มีเครื่องถ่ายอีก) แต่เท่าที่ส่วนตัวผมมีข้อมูลนั้น เริ่มต้นเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งทั้งหมดที่พูดมานี้ เป็นเพียงบทนำที่จะนำเพื่อนสมาชิกเข้าสู่ประวัติการเพาะกายย้อนหลังไป 100 ปีครับ โดยจะใช้ของประเทศอเมริกาเป็นหลัก เพราะต้องถือว่าเขาเป็นแม่แบบของการเพาะกายยุคใหม่ (การเพาะกายยุคใหม่ Modern Bodybuilding เกิดเมื่อช่วงต้นปี ค.ศ.1970 หรือสามสิบเกือบสี่สิบปีมานี้) |
ค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) ปลายศตวรรษที่ 18 เริ่มแรกผู้คนในอเมริกาให้ความสำคัญกับเรื่องดุแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยมีการทำงานในฟาร์ม ทานอาหารธรรมชาติ ไม่มีการดัดแปลงอาหารต่างๆ ต่อมาเมื่อความเจริญเกิดขึ้นในตัวเมือง คนหนุ่มสาวจึงพากันเดินทางจากเมืองเล็กๆ จากชนบทเข้าสู่เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยรถยนต์ เครื่องจักร ด้วยสภาวะแวดล้อมแบบสังคมเมือง ทำให้เกิดการทานอาหารที่ไม่ดี ,ขาดการออกกำลังกาย ,มีความเครียดเกิดขึ้นจากการแข่งขันต่างๆในชีวิต ทำให้คนในเมืองต่างพากันร่างกายทรุดโทรม ในช่วงเวลาดังกล่าว มีผู้พยายามปลุกกระแสคนในเมืองให้ดูแลรักษาสุขภาพตนเอง และมีสร้างค่านิยมการยกย่องผู้ที่มีความแข็งแกร่งในร่างกาย เพื่อจะได้นำไปลบล้างกับค่านิยมที่หาแต่เงินอย่างเดียว ซึ่งเราเรียกว่า The Physical culturists |
แผ่นพับโฆษณายูจีน แซนดาว ในยุคนั้น
|
สมัยนั้น มีผู้แข็งแกร่งที่แสดงออกด้วยการโชว์พละกำลังตามงานต่างๆหลายๆคน และ ยูจีน แซนดาว (Eugene Sandow) ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขามาถึงอเมริกาในปี ค.ศ.1890 (พ.ศ.2433) โดยมีพี่เลี้ยงคือ ฟลอเรนส์ เซย์เฟล ที่พาเขาตระเวณโชว์ตัวไปตามที่ต่างๆ เขาโด่งดังมาจากการท้าแข่งอะไรก็ได้กับผู้ที่มีชื่อเสียงว่าแข็งแรงที่สุด และแน่นอนแซนดาวชนะเรียบ พละกำลังของเขาราวกับมีมนต์วิเศษ เขายกคนสองคนขึ้นจากพื้น ,เขายกลูกเหล็กขนาดใหญ่ที่ทดลองให้คนสองคนช่วยกันยกอย่างทุลักทุเล แต่เขากลับยกขึ้นได้ด้วยมือเดียว ,เขาเอาเหล็กยาวๆพาดบนหน้าขา แล้วให้ม้าเดินผ่านเหล็กนั้น อันเป็นการแสดงถึงพละกำลังอันน่ามหัศจรรย์ และแล้วแม่แบบก็ถูกเลือก ผู้ที่แข็งแรงแต่มีรูปร่างเหมือนถังเบียร์ ถูกตัดทิ้งไป สังคมต้องการใครสักคนที่แข็งแรงด้วยและดูดีด้วย เขาต้องการคนที่มีรูปร่างเหมือนรูปปั้นชาวกรีก และแน่นอน ยูจีน แซนดาว ก็อยู่ตรงนั้น ในลักษณะถูกคน ถูกเวลา และถูกสถานที่ เขาเป็นซูเปอร์สตาร์ในยุคปิดศตวรรษที่ 18 พอดี (Turn of the century physical culture superstar) |
ยูจีน แซนดาว
|
ไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งที่ทำให้แซนดาวดังเป็นพลุแตก แต่เพราะกล้ามเนื้ออันงดงามที่มาพร้อมกับความแข็งแกร่งนั้นด้วยต่างหาก แซนดาวจะขึ้นไปบนเวทีแก้ว และโพสท่าต่างๆในสภาพไร้อาภรณ์ มีเพียงใบไม้ปิดของสงวนไว้เท่านั้น ทุกๆคนจ้องมองไปที่เขา และผู้หญิงก็ได้แต่ร้อง "อู้.." "อ้า.." ทุกๆคนยอมรับในความสวยงาม ความสมส่วน และพัฒนาการของกล้ามเนื้อเขา รูปร่างเพศชายในทัศนะใหม่ๆถูกสร้างขึ้นมา ณ.บัดนั้น ศิลปินใช้รูปชายเปลือยเป็นตัวแสดงผลงานศิลปะต่างๆ และนั่นยิ่งทำให้แซนดาวยิ่งดังขึ้นไปอีก |
ยูจีน กับบาร์เบลล์สมัยนั้น
|
บาร์เบลล์และดัมเบลล์ของยูจีนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เขามีรายได้อาทิตย์ละ 1 พันเหรียญ (ตกอาทิตย์ละ 25,000 บาท ซึ่งคุณพ่อของผมเล่าให้ฟังว่า ขนาดเมื่อ 80 กว่าปีที่แล้ว (ตอนนี้คุณพ่ออายุ 84 ปี) คุณปู่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นท่านขุน (ขุนวิจัยจรรยา) มีเงินเดือน 500 บาท ยังสามารถมีภรรยาใหม่ได้เดือนละ 2 คน สมัยนั้นกล้วย 1 เครือ (แปลว่ามีหลายๆหวี) ราคาเพียง ครึ่งสตางค์ ของหรูๆสามารถซื้อกันในราคา 1 สตางค์ ก็แพงมากแล้ว) นอกจากนี้ ยูจีนยังทำให้เกิดการจ้างงาน คืออุตสาหกรรมเกี่ยวกับหนังสือและแม็กกาซีนขึ้นมาอีกมากมาย และมีการประกวดชายงามโดยการใช้สายวัด วัดส่วนต่างๆเทียบขนาดกัน ผู้ชนะจะได้รับถ้วยรางวัลที่เป็นหุ่นรูปยูจีน แซนดาว ขนาดเล็ก และแน่นอน ผู้มอบรางวัลก็คือตัวยูจีนเอง ยูจีน แจ้งเกิดด้วยพละกำลังอันเหมือนมนต์วิเศษของเขา แต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวกับที่พรากเขาไปชั่วนิรันดร์ เมื่อครั้งหนึ่งรถของยูจีนวิ่งตกถนนไปแช่อยู่ในคูน้ำเล็กๆ แทนที่เขาจะให้รถมาลาก เขากลับใช้มือข้างเดียวของเขาเองยกรถคันดังกล่าวขึ้นมาได้ แต่เพราะการออกแรงมากเกินไป เขาเกิดอาการเลือดออกในสมอง ซึ่งจบชีวิตของเขาลงในเวลาต่อมา สิ้นสุดยุคของชายผู้หนึ่งที่กษัตริย์ จอร์จ แห่งประเทศอังกฤษ ขนานนามเขาว่า "ผู้เชี่ยวชาญการสร้างกล้ามเนื้อให้ยิ่งใหญ่ด้วยระบบวิทยาศาสตร์" |
ระหว่างปี ค.ศ.1920 - 1940 (พ.ศ.2463 - 2483) ช่วงปี ค.ศ.1920 - 1930 (พ.ศ.2463 - 2473) เป็นช่วงเวลาที่ "การพัฒนากล้ามเนื้อ" กับ "การพัฒนาสุขภาพ" ใกล้จะรวมกันแล้ว สมัยนั้นรู้แต่เพียงว่าการยกลูกน้ำหนักเป็นการพัฒนากล้ามเนื้อได้อย่างรวดเร็ว แต่ถามว่าจะต้องยกท่าไหน อย่างไร ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เพราะความรู้เกี่ยวกับการเล่นกล้ามมีจำกัดมาก ผู้คิดค้นต่างๆได้ลองผิดลองถูก โดยลองดูว่าท่าไหนบริหารแล้ว ได้ผลออกมาทำให้ร่างกายใกล้เคียงกับนักเพาะกายรุ่นก่อนหน้าพวกเขา เขาก็จะบันทึกไว้ และนี่คือรายละเอียดเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ |
ลูอิส เซียร์
|
ต้นศตวรรษที่ 19 "ลูอิส เซียร์"(รูปบน) ได้โด่งดังขึ้นมาในฐานะตัวแทนแห่งความแข็งแกร่งของมวลมนุษย์ เขามีน้ำหนักตัว 136 กิโลกรัม ,ร่างกายหนาแบบมะขามข้อเดียว เนื้อตัวแน่นแบบถังเบียร์ แต่แล้ว 20 ปีให้หลัง ก็มีผู้แข็งแกร่งคนใหม่ขึ้นดับรัศมีความดังของลูอิส เขาคือ ซิกมัน เคลียน |
ซิกมัน เคลียน
|
รูปร่างของซิกมัน แตกต่างกับลูอิส ราวฟ้ากับเหว ซิกมันมีรูปทรงกล้ามเนื้อที่สวยงาม สมดุลและสมส่วน ไขมันทั่วร่างกายมีน้อยนิด และมีรอยแตกของกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆชัดเจนเตะตา มีหลายอย่างที่ดูคล้ายแซนดาว จนน่าพิศวง เขาเป็นเจ้าของโรงยิม และเป็นคนเขียนตำราการยกน้ำหนัก แต่ในช่วงดังกล่าว (ค.ศ.1930 หรือ พ.ศ.2473) ผู้คนบางกลุ่มก็ยังไม่ยอมรับว่าการยกน้ำหนักเป็นกีฬา เขามองว่ามันเป็นการ "ขี้โกง" ที่เอาเวลาส่วนใหญ่ไปฝึกตัวเองด้วยลูกเหล็ก ทำให้ร่างกายออกมาดูดีกว่านักกีฬากรีฑาที่ฝึกหนักตลอดปีเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม การพยายามแสดงว่ากีฬาของตัวเองดีกว่ากีฬาชนิดอื่น ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ประกวดประชันกันบนเวทีขึ้นมา โดยในช่วงระหว่างปีค.ศ.1930 - 1938 (พ.ศ.2473 ถึง 2481) มีการนำเอานักมวย ,นักยิมนาสติก ,นักว่ายน้ำ ,นักยกน้ำหนัก (weightlifters) และนักกีฬาอย่างอื่นขึ้นโชว์ตัวบนเวทีเดียวกัน และให้ทุกๆคนโชว์ความสามารถต่างๆในกีฬาที่ตัวเองถนัด และกลายเป็นว่านอกจากนักยกน้ำหนักจะยกน้ำหนักโชว์แล้ว เขายังสามารถทรงตัวอยู่บนแขนข้างเดียวและยังทำท่าทางได้เหมือนนักยิมนาสติกอีกด้วย ในปี ค.ศ.1939 (พ.ศ.2482) ได้เกิดการประกวด มิสเตอร์อเมริกา ขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมดิสันสแควร์ ผู้ที่เข้าร่วมประกวด มาจากนักกีฬาหลายสาขา ยังไม่ใช่คนที่มาจากนักยกน้ำหนักล้วนๆ บ้างก็ใส่กางเกงชกมวยขาสั้น บ้างก็ใส่กางเกงจ๊อกกี้ขี่ม้า แต่ผู้ที่ชนะก็ยังเป็นผู้ที่สร้างร่างกายมาจากลูกน้ำหนักอยู่ดี |
จอห์น กริเม็ค
|
ใน ปี ค.ศ.1940 (พ.ศ.2483) ได้มีการบัญญัติศัพท์นักเพาะกาย "body builder" แยกมาจาก นักยกน้ำหนัก (weightlifters) และเราได้นักเพาะกายคนแรกคือ จอห์น กริเม็ค ซึ่งก็คือผู้ชนะการประกวดมิสเตอร์ยูเอสเอในปีนี้นั่นเอง (ค.ศ.1940) จอห์นฯ คือผู้ชี้ให้เห็นว่าการจะเพาะกายให้มีรูปร่างสวยงามเหมือนต้นแบบนั้น จะต้องฝึกด้วยตารางฝึกเดียวกันกับครูต้นแบบ เขามักเน้นเสมอว่าการเพาะกาย ย่อมลดความปราดเปรียวลง (เพื่อแยกตัวออกมาจากนักกีฬากรีฑา ,นักบอล ,นักมวย ให้เป็นกีฬาที่มีลักษณะเฉพาะตัวนั่นเอง) จอห์นฯแสดงการโพสท่าต่างๆบนเวทีแต่ละครั้งเป็นเวลา 30 นาทีรวดเพื่อโชว์กล้ามเนื้อ ,ความสมส่วน ,การประสานการทำงานของกล้ามเนื้อต่างๆ
|
ขออนุญาตเผยแพร่ข้อมูลเพื่อการศึกษานะครับ
ตอบลบ